จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ไม่จำกัด ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ พระสมเด็จ พระพุทธ |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ไฮไลท์ |
พระนาคปรกใบมะขาม รุ่นแรก หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ปี ๒๕๑๖ เนื้อทองแดง หูยาวนิยม (พร้อมเลี่ยมทอง)
(พระถ่ายจากองค์จริง ตรงตามรูป มีบัตรรับรองพระแท้ จากบริษัทพระเมืองเหนือ)
พระปางนาคปรก พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถประทับ(นั่ง)ขัดสมาธิหงายพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา(ตัก)พระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้ายเหมือนปางสมาธิ แต่มีพญานาคขนดร่างเป็นวงกลมเป็นพุทธบัลลังก์ และแผ่พังพานปกคลุมอยู่เหนือพระเศียร
ผู้ที่นำพกพระปางนาคปรกหรือพระคนเกิดวันเสาร์ติดตัวจะป้องกันสิ่งเลวร้ายได้ตลอดกาลแล้วยังเป็นวัตถุมงคลเมตามหานิยมอยู่ยงคงกระพันชาตรีและแก้กันโรคภัยไข้เจ็บปกป้องคุ้มครองตนเองให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆได้ทั้งปวง
พระนาคปรกใบมะขาม มีขนาดเล็ก พกพาสะดวก เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกิดปีมะโรง ปีมะเส็ง หรือคนเกิดปีที่เกื้อหนุนกันกับปีมะโรง เช่น คนเกิดปีฉลู ปีระกา ปีชวด ปีวอก เพื่อหนุนดวง เสริมบารมี โชคลาภ เมตตา ค้าขาย แคล้วคลาดจากภัยอันตลาดทั้งปวง หรือคนที่ต้องการเสริมดวงแก้ปีชง ในปีมะโรง ตามความเชื่อ หรือคนที่เกิดวันเสาร์ ควรจะมีพระนาคปรกไว้บูชาเนื่องจากเป็นพระประจำวันเกิด
..........................................................................................................
พระชุดนี้พระอาจารย์ทองเจือ วัดปากน้ำภาษีเจริญ พร้อมคุณลุงแก้ว ศิริรัตน์และคณะร่วมกันจัดสร้าง เพื่อนำปัจจัยสมทบทุน
สร้างถาวรวัตถุในวัดต่างๆ วัตถุมงคลชุดนี้ประกอบด้วย
1.พระเนื้อผงพิมพ์พระปิดตาภควัมบดี
2.พระเนื้อผง พิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่นั่งสมาธิ(พิมพ์เสาโบสถ์)
3.เข็มกลัดและเข็มติดเนคไท
4.พระนาคปรกใบมะขาม
5.ผ้ายันต์พิมพ์สี่เหลี่ยม
6.รูปพิมพ์ขนาดเล็ก
การสร้างพระได้ทำขึ้น 3 วาระคือ
-วาระแรก ได้ประกอบพิธีที่วัดปากน้ำ
-วาระที่สอง ได้ประกอบพิธีที่วัดวิเวกวนาราม
-วาระที่สาม ได้ประกอบพิธีที่วัดดอยแม่ปั๋ง
...................................................................................
🔰 หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
ท่านเป็นศิษย์ยุคต้นของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
โดยท่านได้ศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดและธุดงค์ไปทั่วทั้งภาคอีสาน ลาว พม่า จนช่วงบั้นปลายท่านได้มาสร้างวัดดอยแม่ปั๋งที่จ.เชียงใหม่
⭐ ประสบการณ์เกี่ยวกับพุทธคุณและความศักดิ์สิทธิ์ของท่านที่เล่าขานกันเป็นตำนานเรื่องหนึ่งได้แก่ที่เชื่อว่าท่านได้แสดงปาฏิหารย์ขึ้นไปยืนบนก้อนเมฆให้นักบินที่บินผ่านวัดดอยแม่ปั๋งได้เห็นอยู่หลายครั้ง จนทหารเริ่มทำการสืบเสาะหาวัดของท่าน จึงทำให้คนได้เริ่มรู้จักหลวงปู่แหวนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บรรดาลูกศิษย์ทั้งข้าราชการทหารตำรวจพ่อค้าและประชาชนต่างพากันสร้างพระเครื่องวัตถุมงคลนำมาให้ท่านปลุกเสก
⭐ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง
ท่านได้อธิษฐานจิต วัตถุมงคลต่างๆมากมายหลายรุ่น ล้วนมีประสบการณ์ด้านแคล้วคลาด ปลอดภัย เมตตามหานิยม
💠 การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงปู่แหวน เล่าโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั่ง จ.เชียงใหม่
ต่อไปนี้เป็นคำเล่าของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟัง แล้วนำมาถ่ายทอด ลงในหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ ปี พ.ศ.๒๕๒๕ โดยสิทธา เชตวัน ดังนี้ :-
หลวงปู่แหวน ไม่เคยสนใจเรื่องการสร้างพระเครื่องแปลกๆพิสดาร ตลอดจนเครื่องราง ของขลังเลย มีแต่พระและฆราวาสลูกศิษย์ลูกหาจัดสร้างขึ้น แล้วขนไปให้ท่านปลุกเสกบ้าง ซึ่งท่าน ก็มีเมตตาไม่ขัดข้อง
หลวงปุ่แหวน กล่าวว่า ชาวบ้านทั้งหลายยังติดข้องอยู่ในโลกธรรม โลกียสมบัติ ยึดถือตัวตน บุคคลเราเขา ยังเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีโอกาสจะเป็นนักบวชกระทำจิตตัดกิเลส หาทางหลุดพ้น ได้สะดวก จำเป็นอยู่เอง ที่ชาวบ้านจะต้องยึดถือพระเครื่องเป็นที่พึ่ง อย่างน้อยพระเครื่องก็เป็นจุด ให้ชาวบ้านเข้าถึงความดี ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ที่ชาวบ้านจะมี พระเครื่องไว้ติดตัว
" ปู่ก็เสกให้ ใครเอามาให้ ก็ต้องเสกให้ไป ด้วยความเมตตานั่นแหละ หลานเอ๊ย"
หลวงปุ่แหวน กล่าวไว้อย่างนี้ เมื่อคณะศรัทธาจากที่ต่างๆทั่วสารทิศ หอบหิ้วขนเอาพระ เครื่องรางของขลัง ไปให้ท่านปลุกเสกถึงวัด
ตอนนั้นหลวงปู่แก่มากแล้ว ชราภาพไปด้วยวิสัยสังขาร หูตึง เดินเหินไม่สะดวก ทางวัดจึง ต้องจำกัดเวลาให้ชาวบ้านเข้านมัสการ ไม่ีค่อยจะให้ท่านเดินทางไกลไปร่วมปลุกเสกพระเครื่อง ในพธีพุทธาภิเษกใดๆ ง่ายๆ นอกจากว่า หลวงปุ่จะยินดีเต็มใจไปเองจริงๆ ทั้งนี้ก็เพื่อจะถนอม ชีวิตของหลวงปุ่แหวน ไว้ให้ยืนนานเป็นมิ่งขวัญของวัดและประชาชน ผุ้เคารพศรัทธาทั้งหลาย ต่อไปให้นานเท่านาน นั่นเอง
มีสิ่งที่น่าสังเกตุอยู่อย่างคือ พระเครื่องรางของขลังใดๆ ที่พระและฆราวาส นำไปขอเมตตาจิต จากหลวงปู่แหวน เพื่อให้ท่านปลุกเสกให้นั้น หลวงปู่แหวน จะปลุกเสกให้อย่างมากไม่เกิน ๙ นาที บางครั้งก็เสกให้ ๓ นาที ๕ นาทีบ้าง เป็นอันว่าใช้ได้
การปลุกเสกนี้ไม่มีพิธีรีตรองใดๆทั้งสิ้น ต้องไปนอนอยู่ที่วัดรอให้หลวงปู่แหวนออกมาจาก ห้อง พอท่านออกมาก็ขนสิ่งที่จะปลุกเสกเข้าไปกราบนมัสการท่านทันที แล้วท่านก็จะทำให้ ในเดี๋ยวนั้น ทำปุ๊ปเสร็จปั๊ป ก็เป็นอันว่าแล้วกันไป เสร็จสิ้นเรื่องเปิดโอกาสให้ผู้คนอื่นๆ เข้าไปนมัสการท่าน ตามคิว ซึ่งแน่นขนัดอยู่ทุกวัน ไม่มีขาด
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้เล่าถึงการปลุกเสกพระ ที่ลูกศิษย์ ลุกหาต่งถอดสร้อย และรวมพระ เครื่องต่งๆ รอให้หลวงปุ่แหวน ปลุกเสกให้ดังนี้ :-
" พอใครขนเอาเครื่องรางไปวางเสร็จ หลวงปู่แหวนก็ัตั้งท่าสงบใจสงเคราะห์ อาตมาก็จับดู จิตของหลวงปุ่แหวน ดูอารมณ์จิตของท่านว่า จะทำยังไง
ครั้นแล้ว ก็เห็นอารมณ์จิตของหลวงปู่แหวนผ่องใสเป็นดาวประกายพฤษ์เต็มดวง ลอยอยู่ใน อกท่าน เวลานั้นกำลังจิตของหลวงปุ่แหวน ก็คิดว่า ขออารธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ให้มาโปรดช่วยทำของเหล่านี้ ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญมงคล ของบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้เข้าถึงพระธรรม
โดยความจริง หลวงปุ่แหวน ไม่คิดว่าเสกให้เอาไปตีกับชาวบ้าน เอาไปปล้นชาวบ้าน ท่านเสก ให้คนเข้าถึงธรรม
ท่านนึกในใจต่อไป หลวงปุ่แหวนก็อาราธนาบารมีของพระอรหันต์ทั้งหมด บารมีของพรหม ของเทวดาทั้งหมด ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์
พอถึงพะอรหันต์ อาตมาก็เห็นหลวงปู่ตื้อ ปรี๊ดมาถึงข้างหลัง เอากำปั้นลง หลังอาตมาปั๊ปเข้าให้ แล้วถามว่า เฮ้ย ... มึงมานั่งอยู่ทำไมวะ อาตมาก็เลยบอกไปว่านี่ ... พระผี ไม่ต้องพูด หลวงปู่ แหวน เชิญพระผีนะ ไม่ได้เชิญพระมีเนื้อหนังมังสา มีหน้าที่อะไรก็ทำไป
แล้วก็ได้เห็นกระแสจิตหลวงปุ่แหวน เป็นประกายพฤกษ์ พุ่งออมาจากอก สว่างเจิดจ้า ใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด แสงสว่างประกายพฤกษ์ของจิตพระอรหันตเจ้า แทรกลงไปในเครื่องรางของขลัง อยู่ผิวด้านหน้ายันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมดอาบลงไปหมด เลย โพลงสว่างสุกปลั่งไปหมด คล้ายตกอยู่ในเบ้าหลอม เป็นกระแสสว่างของจิตที่เยือกเย็น เต็มไป ด้วยอำนาจพุทธบารมี เห็นแล้วรู้สึกเยือกเย็นสบายอย่างประหลาด บอกไม่ถูก
นี่เป็นการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังของ หลวงปุ่แหวน ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง ๓ นาที แต่ทว่า อานุภาพยิ่งใหญ่ ทรงความขลงศักดิ์สิทธิ์ เลิศล้ำน่ามหัศจรรย์
***************************************
เรื่องเล่าปาฏิหารย์ “หลวงปู่แหวน สุจิณโณ”
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2516 เมื่อนักบินของกองทัพอากาศนายหนึ่ง ได้นำเครื่องบินออกบินตามหน้าที่ปกติ วันนั้นเป็นวันที่ทัศนวิสัยดี ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แม้จะมีเมฆ แต่นักบินก็สามารถเห็นท้องฟ้าเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน เขาบังคับเครื่องบินไปตามเส้นทางปกติ ซึ่งเป็นแนวบินที่พาดผ่านเหนือวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ทันใดนั้นเอง นักบินต้องตกตะลึง เพราะเบื้องหน้าของตนนั้น ปรากฏพระชรารูปหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ขวางเส้นทางการบินอยู่ แต่ด้วยสัญชาตญาณ เขาจึงบิดคันบังคับหลบไปในทันที เครื่องบินโฉบผ่านพระรูปนั้นไปอย่างฉิวเฉียด
หลังจากตั้งสติได้ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ จึงตัดสินใจขับเครื่องบินย้อนกลับมาอีกครั้ง และนั่นทำให้เขายิ่งตกใจซ้ำสอง เพราะพระชรารูปนั้น ยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่บนก้อนเมฆเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขาพยายามรักษาระยะห่างของเครื่องเอาไว้ เฝ้ามองพระชรารูปนั้นค่อย ๆ หายลับไปในหมู่เมฆ เมื่อนำเครื่องลงจอด เขารีบเข้าไปกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ถามท่านว่า ที่เชียงใหม่ มีพระองค์ไหนที่แสดงปาฏิหาริย์ได้ ท่านเจ้าคณะบอกว่า เห็นมีอยู่องค์หนึ่ง คือ “หลวงปู่แหวน” วัดดอยแม่ปั๋ง
ทันทีที่ทราบ เขาจึงรีบตรงไปที่วัดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตา เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่า มีผู้คนมากมายมารอพบหลวงปู่แหวนเต็มไปหมด ปกติแล้ว หลวงปู่แหวนจะไม่ยอมออกมาพบปะใครง่าย ๆ ด้วยความที่ท่านเป็นพระที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องและหนีคนตามอุปนิสัยเดิม ท่านจะออกมาจากห้องก็เฉพาะเวลาฉันเช้าและเจริญพระพุทธมนต์เท่านั้น
นายทหารคนนี้ไปถึงวัดในตอนเช้า เหลือเชื่อว่าเป็นเวลาที่หลวงปู่แหวนออกจากห้องมาฉันเช้าพอดี และเมื่อเห็นท่าน นายทหารก็ถึงกับตกตะลึงซ้ำสาม เพราะหลวงปู่แหวนที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือพระชราที่เขาเห็นนั่งอยู่บนก้อนเมฆนั่นเอง เขาจึงแหวกผู้คนเข้าไปกราบนมัสการแทบเท้าหลวงปู่แหวนด้วยความเคารพเลื่อมใส อย่างสูงสุด น้ำตาไหล ปลาบปลื้มใจตื้นตันใจ ที่ตนได้มีบุญได้พบเห็นตัวจริงของหลวงปู่แหวน
คาถาหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
เป็นคาถาสำหรับสวดภาวนาเพื่อให้สำเร็จผลทางแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ มาคอยปกป้องคุ้มครองรักษา ท่านว่าให้สวดภาวนาเป็นประจำ จะดีนักแล
นะโม 3 จบ
พุทโธ อะระหัง ธัมโม อะระหัง
สังโฆ อะระหัง อะระหัง พุทโธ
อะระหัง ธัมโม อะระหัง สังโฆ
-------------------------------------
ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ (๑๖ มกราคม ๒๔๓๐ - ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘) วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ นามเดิม ญาณ หรือ ยาน รามศิริ ชาวจังหวัดเลย เป็นพระมหาเถระที่เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่งรูปหนึ่งในวงศ์พระธุดงคกรรมฐาน มีคณะศรัทธาเดินทางมาทำบุญและฟังโอวาทธรรมท่านจากทั่วทุกสารทิศ และเป็นศิษย์สำคัญองค์หนึ่งของพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต ตัวท่านเองครองสมณเพศนับตั้งแต่เป็นสามเณรจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตยาวนานถึง ๘๑ ปี หลวงปู่แหวนได้วางรากฐานการปฏิบัติกรรมฐานในภาคเหนือ และมีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงมากมาย อาทิ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป พระอาจาย์ประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร และหลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร
หลวงปู่แหวนได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพธิ์ชัย อำเภอเมือง จังหวัดเลย เมื่ออายุ ๙ ปี ตามคำร้องขอของแม่และยาย จนเมื่ออายุครบบวชพระ ท่านได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ที่วัดสร้างก่อนอก อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระอาจารย์แว่น เป็นพระอุปัชฌาย์ ในระหว่างที่ท่านศึกษาพระปริยัติอยู่นั้น หลวงปู่ได้เห็นอาจารย์หลายท่านลาสิกขาออกไปมีครอบครัวจนเกิดความสลดสังเวชใจ และเปลี่ยนใจมาทางการออกปฏิบัติกรรมฐาน
ในปี ๒๔๖๑ หลวงปู่แหวนได้เดินทางไปถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ที่เสนาสนะป่าดงมะไฟ บ้านค้อ ตำบลบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี จากนั้นท่านก็เริ่มต้นฝึกปฏิบัติภาวนา ซึ่งในการอบรมธรรมของหลวงปู่มั่นในช่วงนั้น เมื่อได้รับข้อแนะนำในการปฏิบัติแล้ว ลูกศิษย์แต่ละองค์จะแยกย้ายกันไปหาสถานที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนา เมื่อถึงวันลงอุโบสถก็จะมารวมตัวกันทีหนึ่ง และรับข้อปฏิบัติจากหลวงปู่มั่นอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงนี้หลวงปู่แหวนได้สหธรรมิกที่สำคัญองค์หนึ่งคือ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านทั้งสองมักจะเดินธุดงค์ด้วยกันเสมอ ไปตามเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ต่อไปทางสิบสองปันนา สิบสองจุไท และกลับมาประเทศไทยทางจังหวัดเลย สภาพของป่าบริเวณนั้นเป็นป่าดงดิบ เต็มไปด้วยสัตว์อันตรายนานาชนิด ด้วยเหตุนี้จิตใจของท่านจึงมีสติตื่นอยู่เสมอ เป็นสมาธิได้ง่าย รวมตัวได้เร็ว และสามารถทำความเพียรอย่างต่อเนื่อง ในปี ๒๔๖๔ หลวงปู่ทั้งสอง ก็จาริกด้วยกันอีก โดยไปที่ประเทศพม่าและประเทศอินเดีย
ต่อมา หลวงปู่แหวนได้กลับมาพบหลวงปู่มั่นอีกครั้งที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ และในปี ๒๔๗๐ ได้ญัตติเป็นพระธรรมยุติ ที่พัทธสีมาวัดเจดีย์หลวงนี้เอง โดยมีท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ ในช่วงที่เที่ยวธุดงคกรรมฐานอยู่ในภาคเหนือนั้น หลวงปู่แหวนได้ร่วมธุดงค์และแลกเปลี่ยนความรู้ทางธรรมกับลูกศิษย์หลวงปู่มั่นอีกหลายองค์ อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย พระอาจารย์พร สุมโน พระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี และพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ
หลังจากที่หลวงปู่มั่นเดินทางกลับไปภาคอีสานแล้ว หลวงปู่แหวนก็ยังคงปักหลักบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ภาคเหนือโดยไม่ไปจำพรรษาที่ภาคอื่นอีกเลย โดยครั้งหนึ่งหลวงปู่เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหัตผลตามความมุ่งหวัง จะไม่ไปจากเมืองเชียงใหม่” จากนั้นหลวงปู่แหวนยังคงเที่ยววิเวกไปตามป่าตามเขาตามดอยต่างๆ ในเขตภาคเหนือตอนบน และธุดงค์ไปภาคเหนือตอนล่างเป็นครั้งคราว รวมเวลาที่ท่านเดินธุดงค์ทั้งหมดราว ๕๐ ปี ในปัจฉิมวัย หลวงปู่แหวนจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านปง อำเภอแม่แตง เชียงใหม่ และสุดท้ายมาพักรักษาตัวที่วัดดอยแม่ปั๋ง อําเภอพร้าว จนกระทั่งมรณภาพ
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นนักรบในวงศ์พระธุดงค์กรรมฐานอย่างแท้จริง ท่านเป็นผู้ตั้งใจประพฤติตามปฏิปทาหลวงปู่มั่นอย่างอุกฤษฏ์ มีวิริยะอุตสาหะ ปรารภความเพียรมั่นคง ชื่นชอบการเที่ยวจาริกไปตามป่าเขา และยอมสละชีวิตเพื่อธรรม ท่านมักน้อยสันโดษ เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา มีศีลาจารวัตรงดงาม และใจบริสุทธิ์อันถึงแล้วด้วยธรรม หลวงปู่แหวนเป็นศูนย์รวมจิตใจและสร้างคุณูปการต่อชาวพุทธทั่วโลก นับเป็นเนื้อนาบุญที่ควรค่าแก่การเทิดทูนอย่างสูงสุด
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
พระนาคปรกใบมะขาม รุ่นแรก หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ปี ๒๕๑๖ เนื้อทองแดง หูยาวนิยม (พร้อมเลี่ยมทอง)
(พระถ่ายจากองค์จริง ตรงตามรูป มีบัตรรับรองพระแท้ จากบริษัทพระเมืองเหนือ) พระปางนาคปรก พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถประทับ(นั่ง)ขัดสมาธิหงายพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา(ตัก)พระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้ายเหมือนปางสมาธิ แต่มีพญานาคขนดร่างเป็นวงกลมเป็นพุทธบัลลังก์ และแผ่พังพานปกคลุมอยู่เหนือพระเศียร ผู้ที่นำพกพระปางนาคปรกหรือพระคนเกิดวันเสาร์ติดตัวจะป้องกันสิ่งเลวร้ายได้ตลอดกาลแล้วยังเป็นวัตถุมงคลเมตามหานิยมอยู่ยงคงกระพันชาตรีและแก้กันโรคภัยไข้เจ็บปกป้องคุ้มครองตนเองให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆได้ทั้งปวง พระนาคปรกใบมะขาม มีขนาดเล็ก พกพาสะดวก เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกิดปีมะโรง ปีมะเส็ง หรือคนเกิดปีที่เกื้อหนุนกันกับปีมะโรง เช่น คนเกิดปีฉลู ปีระกา ปีชวด ปีวอก เพื่อหนุนดวง เสริมบารมี โชคลาภ เมตตา ค้าขาย แคล้วคลาดจากภัยอันตลาดทั้งปวง หรือคนที่ต้องการเสริมดวงแก้ปีชง ในปีมะโรง ตามความเชื่อ หรือคนที่เกิดวันเสาร์ ควรจะมีพระนาคปรกไว้บูชาเนื่องจากเป็นพระประจำวันเกิด .......................................................................................................... พระชุดนี้พระอาจารย์ทองเจือ วัดปากน้ำภาษีเจริญ พร้อมคุณลุงแก้ว ศิริรัตน์และคณะร่วมกันจัดสร้าง เพื่อนำปัจจัยสมทบทุน สร้างถาวรวัตถุในวัดต่างๆ วัตถุมงคลชุดนี้ประกอบด้วย 1.พระเนื้อผงพิมพ์พระปิดตาภควัมบดี 2.พระเนื้อผง พิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่นั่งสมาธิ(พิมพ์เสาโบสถ์) 3.เข็มกลัดและเข็มติดเนคไท 4.พระนาคปรกใบมะขาม 5.ผ้ายันต์พิมพ์สี่เหลี่ยม 6.รูปพิมพ์ขนาดเล็ก การสร้างพระได้ทำขึ้น 3 วาระคือ -วาระแรก ได้ประกอบพิธีที่วัดปากน้ำ -วาระที่สอง ได้ประกอบพิธีที่วัดวิเวกวนาราม -วาระที่สาม ได้ประกอบพิธีที่วัดดอยแม่ปั๋ง ................................................................................... 🔰 หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ท่านเป็นศิษย์ยุคต้นของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โดยท่านได้ศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดและธุดงค์ไปทั่วทั้งภาคอีสาน ลาว พม่า จนช่วงบั้นปลายท่านได้มาสร้างวัดดอยแม่ปั๋งที่จ.เชียงใหม่ ⭐ ประสบการณ์เกี่ยวกับพุทธคุณและความศักดิ์สิทธิ์ของท่านที่เล่าขานกันเป็นตำนานเรื่องหนึ่งได้แก่ที่เชื่อว่าท่านได้แสดงปาฏิหารย์ขึ้นไปยืนบนก้อนเมฆให้นักบินที่บินผ่านวัดดอยแม่ปั๋งได้เห็นอยู่หลายครั้ง จนทหารเริ่มทำการสืบเสาะหาวัดของท่าน จึงทำให้คนได้เริ่มรู้จักหลวงปู่แหวนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บรรดาลูกศิษย์ทั้งข้าราชการทหารตำรวจพ่อค้าและประชาชนต่างพากันสร้างพระเครื่องวัตถุมงคลนำมาให้ท่านปลุกเสก ⭐ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง ท่านได้อธิษฐานจิต วัตถุมงคลต่างๆมากมายหลายรุ่น ล้วนมีประสบการณ์ด้านแคล้วคลาด ปลอดภัย เมตตามหานิยม 💠 การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงปู่แหวน เล่าโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั่ง จ.เชียงใหม่ ต่อไปนี้เป็นคำเล่าของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟัง แล้วนำมาถ่ายทอด ลงในหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ ปี พ.ศ.๒๕๒๕ โดยสิทธา เชตวัน ดังนี้ :- หลวงปู่แหวน ไม่เคยสนใจเรื่องการสร้างพระเครื่องแปลกๆพิสดาร ตลอดจนเครื่องราง ของขลังเลย มีแต่พระและฆราวาสลูกศิษย์ลูกหาจัดสร้างขึ้น แล้วขนไปให้ท่านปลุกเสกบ้าง ซึ่งท่าน ก็มีเมตตาไม่ขัดข้อง หลวงปุ่แหวน กล่าวว่า ชาวบ้านทั้งหลายยังติดข้องอยู่ในโลกธรรม โลกียสมบัติ ยึดถือตัวตน บุคคลเราเขา ยังเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีโอกาสจะเป็นนักบวชกระทำจิตตัดกิเลส หาทางหลุดพ้น ได้สะดวก จำเป็นอยู่เอง ที่ชาวบ้านจะต้องยึดถือพระเครื่องเป็นที่พึ่ง อย่างน้อยพระเครื่องก็เป็นจุด ให้ชาวบ้านเข้าถึงความดี ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ที่ชาวบ้านจะมี พระเครื่องไว้ติดตัว " ปู่ก็เสกให้ ใครเอามาให้ ก็ต้องเสกให้ไป ด้วยความเมตตานั่นแหละ หลานเอ๊ย" หลวงปุ่แหวน กล่าวไว้อย่างนี้ เมื่อคณะศรัทธาจากที่ต่างๆทั่วสารทิศ หอบหิ้วขนเอาพระ เครื่องรางของขลัง ไปให้ท่านปลุกเสกถึงวัด ตอนนั้นหลวงปู่แก่มากแล้ว ชราภาพไปด้วยวิสัยสังขาร หูตึง เดินเหินไม่สะดวก ทางวัดจึง ต้องจำกัดเวลาให้ชาวบ้านเข้านมัสการ ไม่ีค่อยจะให้ท่านเดินทางไกลไปร่วมปลุกเสกพระเครื่อง ในพธีพุทธาภิเษกใดๆ ง่ายๆ นอกจากว่า หลวงปุ่จะยินดีเต็มใจไปเองจริงๆ ทั้งนี้ก็เพื่อจะถนอม ชีวิตของหลวงปุ่แหวน ไว้ให้ยืนนานเป็นมิ่งขวัญของวัดและประชาชน ผุ้เคารพศรัทธาทั้งหลาย ต่อไปให้นานเท่านาน นั่นเอง มีสิ่งที่น่าสังเกตุอยู่อย่างคือ พระเครื่องรางของขลังใดๆ ที่พระและฆราวาส นำไปขอเมตตาจิต จากหลวงปู่แหวน เพื่อให้ท่านปลุกเสกให้นั้น หลวงปู่แหวน จะปลุกเสกให้อย่างมากไม่เกิน ๙ นาที บางครั้งก็เสกให้ ๓ นาที ๕ นาทีบ้าง เป็นอันว่าใช้ได้ การปลุกเสกนี้ไม่มีพิธีรีตรองใดๆทั้งสิ้น ต้องไปนอนอยู่ที่วัดรอให้หลวงปู่แหวนออกมาจาก ห้อง พอท่านออกมาก็ขนสิ่งที่จะปลุกเสกเข้าไปกราบนมัสการท่านทันที แล้วท่านก็จะทำให้ ในเดี๋ยวนั้น ทำปุ๊ปเสร็จปั๊ป ก็เป็นอันว่าแล้วกันไป เสร็จสิ้นเรื่องเปิดโอกาสให้ผู้คนอื่นๆ เข้าไปนมัสการท่าน ตามคิว ซึ่งแน่นขนัดอยู่ทุกวัน ไม่มีขาด หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้เล่าถึงการปลุกเสกพระ ที่ลูกศิษย์ ลุกหาต่งถอดสร้อย และรวมพระ เครื่องต่งๆ รอให้หลวงปุ่แหวน ปลุกเสกให้ดังนี้ :- " พอใครขนเอาเครื่องรางไปวางเสร็จ หลวงปู่แหวนก็ัตั้งท่าสงบใจสงเคราะห์ อาตมาก็จับดู จิตของหลวงปุ่แหวน ดูอารมณ์จิตของท่านว่า จะทำยังไง ครั้นแล้ว ก็เห็นอารมณ์จิตของหลวงปู่แหวนผ่องใสเป็นดาวประกายพฤษ์เต็มดวง ลอยอยู่ใน อกท่าน เวลานั้นกำลังจิตของหลวงปุ่แหวน ก็คิดว่า ขออารธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ให้มาโปรดช่วยทำของเหล่านี้ ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญมงคล ของบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้เข้าถึงพระธรรม โดยความจริง หลวงปุ่แหวน ไม่คิดว่าเสกให้เอาไปตีกับชาวบ้าน เอาไปปล้นชาวบ้าน ท่านเสก ให้คนเข้าถึงธรรม ท่านนึกในใจต่อไป หลวงปุ่แหวนก็อาราธนาบารมีของพระอรหันต์ทั้งหมด บารมีของพรหม ของเทวดาทั้งหมด ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์ พอถึงพะอรหันต์ อาตมาก็เห็นหลวงปู่ตื้อ ปรี๊ดมาถึงข้างหลัง เอากำปั้นลง หลังอาตมาปั๊ปเข้าให้ แล้วถามว่า เฮ้ย ... มึงมานั่งอยู่ทำไมวะ อาตมาก็เลยบอกไปว่านี่ ... พระผี ไม่ต้องพูด หลวงปู่ แหวน เชิญพระผีนะ ไม่ได้เชิญพระมีเนื้อหนังมังสา มีหน้าที่อะไรก็ทำไป แล้วก็ได้เห็นกระแสจิตหลวงปุ่แหวน เป็นประกายพฤกษ์ พุ่งออมาจากอก สว่างเจิดจ้า ใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด แสงสว่างประกายพฤกษ์ของจิตพระอรหันตเจ้า แทรกลงไปในเครื่องรางของขลัง อยู่ผิวด้านหน้ายันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมดอาบลงไปหมด เลย โพลงสว่างสุกปลั่งไปหมด คล้ายตกอยู่ในเบ้าหลอม เป็นกระแสสว่างของจิตที่เยือกเย็น เต็มไป ด้วยอำนาจพุทธบารมี เห็นแล้วรู้สึกเยือกเย็นสบายอย่างประหลาด บอกไม่ถูก นี่เป็นการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังของ หลวงปุ่แหวน ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง ๓ นาที แต่ทว่า อานุภาพยิ่งใหญ่ ทรงความขลงศักดิ์สิทธิ์ เลิศล้ำน่ามหัศจรรย์ *************************************** เรื่องเล่าปาฏิหารย์ “หลวงปู่แหวน สุจิณโณ” ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2516 เมื่อนักบินของกองทัพอากาศนายหนึ่ง ได้นำเครื่องบินออกบินตามหน้าที่ปกติ วันนั้นเป็นวันที่ทัศนวิสัยดี ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แม้จะมีเมฆ แต่นักบินก็สามารถเห็นท้องฟ้าเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน เขาบังคับเครื่องบินไปตามเส้นทางปกติ ซึ่งเป็นแนวบินที่พาดผ่านเหนือวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ทันใดนั้นเอง นักบินต้องตกตะลึง เพราะเบื้องหน้าของตนนั้น ปรากฏพระชรารูปหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ขวางเส้นทางการบินอยู่ แต่ด้วยสัญชาตญาณ เขาจึงบิดคันบังคับหลบไปในทันที เครื่องบินโฉบผ่านพระรูปนั้นไปอย่างฉิวเฉียด หลังจากตั้งสติได้ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ จึงตัดสินใจขับเครื่องบินย้อนกลับมาอีกครั้ง และนั่นทำให้เขายิ่งตกใจซ้ำสอง เพราะพระชรารูปนั้น ยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่บนก้อนเมฆเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขาพยายามรักษาระยะห่างของเครื่องเอาไว้ เฝ้ามองพระชรารูปนั้นค่อย ๆ หายลับไปในหมู่เมฆ เมื่อนำเครื่องลงจอด เขารีบเข้าไปกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ถามท่านว่า ที่เชียงใหม่ มีพระองค์ไหนที่แสดงปาฏิหาริย์ได้ ท่านเจ้าคณะบอกว่า เห็นมีอยู่องค์หนึ่ง คือ “หลวงปู่แหวน” วัดดอยแม่ปั๋ง ทันทีที่ทราบ เขาจึงรีบตรงไปที่วัดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตา เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่า มีผู้คนมากมายมารอพบหลวงปู่แหวนเต็มไปหมด ปกติแล้ว หลวงปู่แหวนจะไม่ยอมออกมาพบปะใครง่าย ๆ ด้วยความที่ท่านเป็นพระที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องและหนีคนตามอุปนิสัยเดิม ท่านจะออกมาจากห้องก็เฉพาะเวลาฉันเช้าและเจริญพระพุทธมนต์เท่านั้น นายทหารคนนี้ไปถึงวัดในตอนเช้า เหลือเชื่อว่าเป็นเวลาที่หลวงปู่แหวนออกจากห้องมาฉันเช้าพอดี และเมื่อเห็นท่าน นายทหารก็ถึงกับตกตะลึงซ้ำสาม เพราะหลวงปู่แหวนที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือพระชราที่เขาเห็นนั่งอยู่บนก้อนเมฆนั่นเอง เขาจึงแหวกผู้คนเข้าไปกราบนมัสการแทบเท้าหลวงปู่แหวนด้วยความเคารพเลื่อมใส อย่างสูงสุด น้ำตาไหล ปลาบปลื้มใจตื้นตันใจ ที่ตนได้มีบุญได้พบเห็นตัวจริงของหลวงปู่แหวน คาถาหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เป็นคาถาสำหรับสวดภาวนาเพื่อให้สำเร็จผลทางแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ มาคอยปกป้องคุ้มครองรักษา ท่านว่าให้สวดภาวนาเป็นประจำ จะดีนักแล นะโม 3 จบ พุทโธ อะระหัง ธัมโม อะระหัง สังโฆ อะระหัง อะระหัง พุทโธ อะระหัง ธัมโม อะระหัง สังโฆ ------------------------------------- ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ (๑๖ มกราคม ๒๔๓๐ - ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘) วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ นามเดิม ญาณ หรือ ยาน รามศิริ ชาวจังหวัดเลย เป็นพระมหาเถระที่เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่งรูปหนึ่งในวงศ์พระธุดงคกรรมฐาน มีคณะศรัทธาเดินทางมาทำบุญและฟังโอวาทธรรมท่านจากทั่วทุกสารทิศ และเป็นศิษย์สำคัญองค์หนึ่งของพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต ตัวท่านเองครองสมณเพศนับตั้งแต่เป็นสามเณรจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตยาวนานถึง ๘๑ ปี หลวงปู่แหวนได้วางรากฐานการปฏิบัติกรรมฐานในภาคเหนือ และมีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงมากมาย อาทิ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป พระอาจาย์ประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร และหลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร หลวงปู่แหวนได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพธิ์ชัย อำเภอเมือง จังหวัดเลย เมื่ออายุ ๙ ปี ตามคำร้องขอของแม่และยาย จนเมื่ออายุครบบวชพระ ท่านได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ที่วัดสร้างก่อนอก อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระอาจารย์แว่น เป็นพระอุปัชฌาย์ ในระหว่างที่ท่านศึกษาพระปริยัติอยู่นั้น หลวงปู่ได้เห็นอาจารย์หลายท่านลาสิกขาออกไปมีครอบครัวจนเกิดความสลดสังเวชใจ และเปลี่ยนใจมาทางการออกปฏิบัติกรรมฐาน ในปี ๒๔๖๑ หลวงปู่แหวนได้เดินทางไปถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ที่เสนาสนะป่าดงมะไฟ บ้านค้อ ตำบลบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี จากนั้นท่านก็เริ่มต้นฝึกปฏิบัติภาวนา ซึ่งในการอบรมธรรมของหลวงปู่มั่นในช่วงนั้น เมื่อได้รับข้อแนะนำในการปฏิบัติแล้ว ลูกศิษย์แต่ละองค์จะแยกย้ายกันไปหาสถานที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนา เมื่อถึงวันลงอุโบสถก็จะมารวมตัวกันทีหนึ่ง และรับข้อปฏิบัติจากหลวงปู่มั่นอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงนี้หลวงปู่แหวนได้สหธรรมิกที่สำคัญองค์หนึ่งคือ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านทั้งสองมักจะเดินธุดงค์ด้วยกันเสมอ ไปตามเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ต่อไปทางสิบสองปันนา สิบสองจุไท และกลับมาประเทศไทยทางจังหวัดเลย สภาพของป่าบริเวณนั้นเป็นป่าดงดิบ เต็มไปด้วยสัตว์อันตรายนานาชนิด ด้วยเหตุนี้จิตใจของท่านจึงมีสติตื่นอยู่เสมอ เป็นสมาธิได้ง่าย รวมตัวได้เร็ว และสามารถทำความเพียรอย่างต่อเนื่อง ในปี ๒๔๖๔ หลวงปู่ทั้งสอง ก็จาริกด้วยกันอีก โดยไปที่ประเทศพม่าและประเทศอินเดีย ต่อมา หลวงปู่แหวนได้กลับมาพบหลวงปู่มั่นอีกครั้งที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ และในปี ๒๔๗๐ ได้ญัตติเป็นพระธรรมยุติ ที่พัทธสีมาวัดเจดีย์หลวงนี้เอง โดยมีท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ ในช่วงที่เที่ยวธุดงคกรรมฐานอยู่ในภาคเหนือนั้น หลวงปู่แหวนได้ร่วมธุดงค์และแลกเปลี่ยนความรู้ทางธรรมกับลูกศิษย์หลวงปู่มั่นอีกหลายองค์ อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย พระอาจารย์พร สุมโน พระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี และพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ หลังจากที่หลวงปู่มั่นเดินทางกลับไปภาคอีสานแล้ว หลวงปู่แหวนก็ยังคงปักหลักบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ภาคเหนือโดยไม่ไปจำพรรษาที่ภาคอื่นอีกเลย โดยครั้งหนึ่งหลวงปู่เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหัตผลตามความมุ่งหวัง จะไม่ไปจากเมืองเชียงใหม่” จากนั้นหลวงปู่แหวนยังคงเที่ยววิเวกไปตามป่าตามเขาตามดอยต่างๆ ในเขตภาคเหนือตอนบน และธุดงค์ไปภาคเหนือตอนล่างเป็นครั้งคราว รวมเวลาที่ท่านเดินธุดงค์ทั้งหมดราว ๕๐ ปี ในปัจฉิมวัย หลวงปู่แหวนจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านปง อำเภอแม่แตง เชียงใหม่ และสุดท้ายมาพักรักษาตัวที่วัดดอยแม่ปั๋ง อําเภอพร้าว จนกระทั่งมรณภาพ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นนักรบในวงศ์พระธุดงค์กรรมฐานอย่างแท้จริง ท่านเป็นผู้ตั้งใจประพฤติตามปฏิปทาหลวงปู่มั่นอย่างอุกฤษฏ์ มีวิริยะอุตสาหะ ปรารภความเพียรมั่นคง ชื่นชอบการเที่ยวจาริกไปตามป่าเขา และยอมสละชีวิตเพื่อธรรม ท่านมักน้อยสันโดษ เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา มีศีลาจารวัตรงดงาม และใจบริสุทธิ์อันถึงแล้วด้วยธรรม หลวงปู่แหวนเป็นศูนย์รวมจิตใจและสร้างคุณูปการต่อชาวพุทธทั่วโลก นับเป็นเนื้อนาบุญที่ควรค่าแก่การเทิดทูนอย่างสูงสุด ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |