พระขุนแผน รุ่น 3 (ไข่หลง) หลวงพ่อสมนึก วัดหรงบน ปี 2548 (พิมพ์เล็ก)
วิธีการอาราธนาใช้พระขุนแผนของหลวงพ่อสมนึก วัดหรงบน
เมื่อได้รับพระขุนแผนมาแล้วครั้งแรกให้ตั้งนะโม 3 จบ ระลึกถึง บารมีหลวงปู่คง วัดแค บารมีขุนแผน บารมีหลวงพ่อสมนึกเป็นที่ตั้ง
แล้วท่องคาถาดังนี้ สุ-นะ-โม-โล
ครั้งแรกที่ใช้ให้ใส่ติดตัว 7 วันถอดออกเฉพาะเวลาอาบน้ำ เวลานอน ก็ภาวนา สุนะโมโล จนกว่าจะเคลิ้มหลับ เมื่อใส่พระขุนแผนครบ 7 วันแล้ว ท่านจะเลือกใช้เป็นบางครั้งบางคราวก็ได้ ก่อนใช้ให้ตั้งนะโม 3 จบ จากนั้นให้ระลึกถึง บารมีหลวงปู่คง วัดแค บารมีขุนแผน หลวงพ่อสมนึก วัดหรงบนเป็นที่ตั้ง แล้วท่องคาถาดังนี้ สุนะโมโล เสร็จแล้วอธิฐานใช้ตามความปรารถนา ว่ากันว่าพระขุนแผน หลวงพ่อสมนึก วัดหรงบนนี้พุทธคุณเรื่องเมตตามหาเสน่ห์ เมตตามหานิยมแรงมากๆเกิดประสบการณ์มากมายแก่ผู้บูชา ส่วนพุทธคุณด้านอื่นๆ เช่น แคล้วคลาด คงกระพันตรี โชคลาภ ค้าขาย หน้าที่การงาน เจรจา เป็นที่รักใคร่ของผู้คน หลวงพ่อสมนึกท่านบอกว่าก็ใช้ได้ไม่แพ้กันอย่างแน่นอน ขอให้ผู้บูชาพระขุนแผนเชื่อมั่นต่อครูบาอาจารย์ และอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม
....................................
หลวงพ่อสมนึกท่านบอกไว้ว่าการจะใช้พระขุนแผนรุ่น 3 (รุ่นไข่หลง)นั้นให้ตั้งจิตให้แน่วแน่จากนั้นก็อธิฐานใช้ตามความปรารถนาก็จะบังเกิดผลตามที่เราอธิฐานไว้ เพราะบางคนคิดว่าพระขุนแผนของหลวงพ่อสมนึกใช้ได้เฉพาะเรื่องเมตตามหาเสน่ห์ จริงๆแล้วหลวงพ่อสมนึกท่านอธิฐานจิตปลุกเสกไว้ครบทุกๆด้านครับ แต่อย่าพึงเชื่อผมจนหมดนะครับท่านต้องลองบูชาใช้เองแล้วท่านจะรู้ว่าพระขุนแผนรุ่น3(รุ่นไข่หลง) ดียังไง
.................................................................
การสร้างพระขุนแผนมีส่วนผสมของว่านมวสสารมากมายเช่น กาฝาก 400 กว่าอย่าง ว่านตามตำราโบราณทั้ง 108 ชนิด
นอกจากนี้ยงมีว่านอีกเพิ่มเติมที่หลวงพ่อสมนึกนำมาสร้างวัตถุมงคลพระเครื่องต่างๆและพระขุนแผนรุ่น 3 (ไข่หลง) เช่น
1.พญาว่าน สรรพคุณของพญาว่าน เป็นว่านที่สูงด้วยคุณค่า สามารถใช้ได้ทั้งกันและแก้ พญาว่านนี้สามารถป้องกันควบคุมอิทธิฤทธิ์ของบรรดาว่านทั้งปวงทุกชนิดมิให้เสื่อมสรรพคุณ และสามารถใช้แก้เมื่อกินว่านที่เบื่อเมาเข้าไป หรือถูกพิษภัยของบรรดาไม้มีพิษต่างๆ พญาว่านจะใช้รักษาได้ชงัด หากกินว่านมีพิษเข้าไปหรือถูกภัยของไม้มีพิษ ให้นำหัวพญาว่านมาฝนกับน้ำซาวข้าวทา หรือโขลกละเอียดคั้นน้ำผสมสุราโรงกินอาการจะหายทันที และพญาว่านนี้เมื่อนำไปปลูกรวมกับว่านอื่นๆในกระถางเดียวกันบรรดาว่านอื่นๆ นั้นจะกลายเป็นพญาว่านไปด้วย แต่ถ้าหากว่าปลูกพญาว่านไว้เดี่ยวในกระถางเดียว แล้วนำไปตั้งในท่ามกลางหมู่ว่านอื่นทุกชนิด อิทธิฤทธิ์ของพญาว่านนี้จะคุ้มครองสรรพคุณของว่านทั้งหลายนั้นให้คงสภาพเดิม มีคุณค่าในสรรพคุณไม่เสื่อมคลาย
2.ว่านช้างผสมโขลง (พญาเทครัว) ด้านเมตตามหานิยม เข้าสมาคมได้ทุกแห่ง เกิดความดีมีชัยชนะทำค้าขายได้ลาภผลสมปรารถนา หากประสงค์จะให้เกิดเสน่ห์ทางชู้สาวให้เขียนชื่อผู้ที่เราหลงรักเรายิ่งนักแล (พระอาจารย์ท่านสาปแช่งไว้แรงนักหนา สำหรับผู้คิดมิชอบ ได้เขามาแล้วมิเลี้ยงดูจะมีอันเป็นไปทันตาเห็น) สรรพคุณทางยา หากตำให้ละเอียดผสมกับน้ำปูนใสหรือน้ำซาวข้าว พวกฝีหัวเดียวชะงัดยิ่งนัก ท่านหญิงที่เป็นฝีที่หัวนม จะสามารถใช้ว่านนี้ได้เป็นอย่าดี
3.ว่านเขียด มีความเชื่อว่าเป็นว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม จะทำให้มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม ทำให้ค้าขายดี กล่าวกันว่า วิธีการ ให้นำหัวว่านโยนี(ว่านเขียด)มาตากให้แห้งแล้วบดเป็นผง เสกด้วยคาถาด้านเสน่ห์ จะทำให้คนรักคนหลง
4.ว่านดอกทอง เป็นว่านที่มีฤทธิ์รุนแรง และหายากยิ่ง ว่านที่จัดอยู่ในประเภทดอกทอง คือ ว่านดอกทอง (ว่านดอกทองแท้) ว่านดอกทองกระเจา ,ว่านมหาเสน่ห์ (รากราคะ) ว่านมาอุดม เป็น ว่านที่ผู้เล่นไสยเวทชอบแสวงหากันนัก เพื่อนำไปผสมกับผงวิเศษทำวัตถุมงคล เช่น พระเครื่อง เป็นต้น บางคนก็อยากได้ต้น เอาไปตั้งไว้ในร้านค้าเพื่อเรียกลูกค้า บางคนก็อยากได้ดอกนำติดตัวเพื่อให้เพศตรงข้ามหลงใหล แต่ก็หายากลำบาก ความหายากนั้นทำให้หาคนที่รู้จักของจริงแท้ยากด้วยเช่นกัน จึงมักถูกนักขายว่านนำว่านชนิดนั้นชนิดนี้มาหลอกขายให้เสมอ
ว่านดอกทอง (ดอกทองแท้) ตำราโบราณกล่าวว่า : ว่านดอกทองชนิดนี้มีอำนาจ มีสรรพคุณใช้ทางเสน่ห์มหานิยมแก่ผู้ปลูกผู้ใช้รุนแรงมาก โดยใช้ได้ทั้งต้น ใบ ดอก แต่ไม่นิยมให้มีดอกติดจนบาน ต้องเก็บดอกเสียก่อน ก่อนที่ดอกจะบาน เพราะแม้แต่น้ำที่รดต้นว่าน ถ้าใครได้สัมผัสจะมีผลทางกามา กามราคะในจิตจะกำเริบรุนแรงยิ่งโดยเฉพาะผู้หญิง
5.ว่านโพง ว่านปอบ ต้นและหัวของว่านชนิดนี้มีลักษณะคล้ายขมิ้นอ้อย สีขาว รสฉุนร้อน เมื่อหัวแก่มีธาตุปรอทลงกิน มีพรายเป็นแสงแมงคาเรืองในเวลากลางคืน มีสรรพคุณอยู่ยงคงกระพัน
ว่านโพง ว่านปอบ นี้ชาวบ้านแถบอีสานเรียกว่านผีปอบ ซึ่งขึ้นตามป่า แถวภาคอีสาน โดยเฉพาะชายแดนที่ติดกับเขมร ว่านชนิดนี้คนสมัยก่อนเชื่อกันว่ามีวิญญาณร้ายสิงอยู่ ว่านโพงนี้ชอบกินเลือดสดๆ หมอธรรมที่เป็นฆราวาสชอบนำว่านชนิดนี้มาเลี้ยงไว้เพื่อใช้ให้ทำงานต่างๆให้ โดยเฉพาะการสั่งให้ไปทำร้ายคู่อริหรือฝ่ายตรงข้าม ผู้ที่จะเลี้ยงว่านชนิดนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมแกกล้าเข้าขั้นทีเดียว จึงจะสามารถสะกดเหล่าดวงวิญญาณร้ายที่สิงอยู่ในว่านให้อยู่ภายใต้คำสั่งได้ หากมิฉะนั้นดวงวิญญารณเหล่านั้นที่อยู่ในว่านโพงจะก็จะทำร้ายและกินผู้เลี้ยงเป็นอาหารแทน ถ้าบ่สามารถสะกดดวงวิญญาณได้ ว่ากันว่าตอนกลางคืนหัวว่านที่แก่ได้ที่จะ ออกหากินกบกินเขียด จะเห็นเป็นแสงสีแดงกล่ำปนแสงสีเขียว
สุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือหญ้าเจ้าชู้ หลวงพ่อสมนึกท่านบอกว่าเป็นเคล็ด
..................................................................
การสร้างพระขุนแผนรุ่น 3 (รุ่นไข่หลง) หลวงพ่อสมนึกได้ศึกษาวิธีการผสมเนื้อผงมาอย่างดีและรวบรวมมวลสารไว้มากมาย ในปี 2548 ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ หลวงพ่อสมนึกพร้อมคณะลูกศิษย์เดินทางไปภูลังกาเพื่อไปเก็บสมุนไพรว่านยาต่างๆ เพราะช่วงนี้ว่านต่างๆกำลังแก่จัดเปรียบเสมือนมะม่วงสุกงอมรสชาติก็ต้องอยู่ที่ผล ฉนั้นว่านยาก็ไม่ต่างเช่นกันเพราะฤทธิ์ก็จะลงไปอยู่ที่หัวจึงเป็นช่วงเหมาะสมสำหรับเก็บเกี่ยวว่านยา คณะพระอาจารย์สมนึกเดินทางขึ้นภูลังกาโดยมีพรานเติมเป็นคนนำทางก่อนขึ้นภูลังกาก็ต้องทำพิธีบวงสรวงตอนเช้าบอกกล่าว เจ้าที่ เจ้าทาง สิ่งศักสิทธิ์ที่ปกป้องดูแลสถานที่แห่งนี้เมื่อเสร็จพิธีก็เริ่มเดินทางขึ้นภูลังกากัน
มากล่าวถึงลูกศิษย์พระอาจารย์สมนึกคนหนึ่งชื่อ คุณไข่ พระอาจารย์สมนึกเล่าให้ฟังว่า คุณไข่คนนี้ชอบนั่งสมาธิอยู่เป็นประจำจนสามารถรับรู้ในสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติที่คนธรรมดาสามัญจะรับรู้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเรื่องราวความเป็นของพระขุนแผนรุ่น..ไข่หลง..กลับมาตอนที่คณะหลวงพ่อสมนึกกำลังเดินขึ้นบนภูลังกาเมื่อเดินขึ้นไปถึงกลางทางจึงหยุดพักผ่อนพร้อมกับตรวจนับจำนวนคนร่วมเดินทางทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้พบว่ามีคนหายไป 1 คน โดยคนที่หายไปก็คือคุณไข่นั้นเองเรื่องคนหายรู้ถึงหลวงพ่อสมนึกท่านจึงให้พรานเติมหา พรานเติมกลับตอบท่านว่าเดี๋ยวก็คงเดินตามมาถึงเองแหละตอนนนั้นก็ได้เวลาเพลพอดีทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมข้าวปลาอาหารถวายหลวงพ่อสมนึกจึงไม่มีใครออกตามหาคุณไข่ พอหลังจากทุกคนในคณะรับประทานอาหารเสร็จคุณไข่ก็ยังไม่ตามขึ้นมาสักทีพระอาจารย์ก็เกิดความเป็นห่วงคุณไข่ที่หายไปไม่รู้จะเดินหลงทางอยู่ ณ ที่ใด แต่ก็ต้องออกเดินทางขึ้นบนภูลังกาต่อเพราะหากเดินทางช้าก็จะพบค่ำเสียก่อนและคงไม่ได้เก็บว่านยาอีกต่างหาก ท่านจึงตัดสินใจเดินทางต่อและสั่งพรานเติมให้ออกตามหา ส่วนพรานเติมเองก็ยังไม่สนใจคุณไข่ตามเดิมยังเดินทางต่อไปกับคณะพระอาจารย์จนถึงจุดหมาย
เมื่อถึงจุดหมายแล้วทุกคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองคือขุดเก็บว่านยาเท่าที่จะเก็บมาได้ถึงกระนั้นคุณไข่ก็ยังไม่ตามขึ้นมาอีกเลย
เมื่อได้ว่านยามากพอสมควรแล้วคณะหลวงพ่อสมนึกก็เดินทางกลับลงมายังด้านล่างของภูลังกา แต่ก็ยังไม่เห็นคุณไข่ตามกลับมาเช่นเคย เมื่อถึงด้านล่างของภูลังกาท่านก็ให้พรานเติมออกตามหาคุณไข่ทันทีพร้อมกับชับว่าตามหาให้ได้
เล่ามานานก็ลืมไปว่าผมยังไม่ได้พูดถึงพรานเติมเลยถ้าอย่างนั้นมาฟังเรื่องของพรานเติมเล็กๆน้อยๆก่อนก็แล้วกัน พรานเติมผู้นี้เป็นคนในพื้นมีวิชาอาคมพอตัวท่องเที่ยวบนภูลังกาเป็นประจำ ดังนั้นคนที่จะเดินท่องเที่ยวบนภูลังกาแล้วกลับมาได้ปลอดภัยนั้นก็ต้องมีของดีเช่นกัน พรานเติมเคยออกตามหาคนที่หายไปในภูลังกาประมาณ 20 วันพรานเติมก็พากลับมาจนได้เรามาพูดถึงการตามหาคุณไข่กันดีกว่า
เมื่อพรานเติมออกตามหาก็ได้ทำพิธีเปิดป่าซึ่งวิถีของพรานเองเขาจะรู้กันอยู่แล้ว หลวงพ่อสมนึกเล่าให้ฟังต่อว่าหลังจากพรานเติมทำพิธีเปิดป่าก็ได้ไปเจอ คุณไข่ยืนพิงอยู่หน้าแผ่นหินแห่งหนึ่งบนภูลังกาแต่ไม่มีสติเลยพรานเติมจึงพาตัวคุณไข่กลับลงมาจากภูลังกา เมื่อมาถึงจุดที่คณะหลวงพ่อสมนึกและทุกคนกำลังนั่งรออยู่ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นคุณไข่กลับมาด้วยสภาพสะบักสะบอมเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งมีอาการเหม่อลอย พระอาจารย์สมนึกเห็นท่าทางเป็นเช่นนั้นจึงได้ทำน้ำมนต์รดให้
หลังจากตัวคุณไข่ถูกน้ำมนต์เองถึงกับสะดุ่งตื่นขึ้นมาเลยนับว่าเป็นเรื่องแปลกมากเมื่อทุกคนในคณะได้เห็นเหตุการณ์ครั้งนั้น
หลังจากหลวงพ่อสมนึกพรมน้ำมนต์ให้กับคุณไข่จึงได้สติกับคืนมาพอคุณไข่นั่งพักแล้วก็เล่าเรื่องราวที่เขาได้พบเจอมาให้ทุกคนฟังว่า คุณไข่เล่าว่าระหว่างที่ร่วมเดินทางอยู่กับคณะหลวงพ่อสมนึกนั้นได้เดินออกนอกเส้นทางแล้วไปเจอกับแผ่นหินแผ่นหนึ่งซึ่งมีลักษณะผิดจากแผ่นหินแผ่นอื่นๆด้วยความสังสัยแล้วจึงใช้มือแตะลงไปที่แผ่นหินแผ่นนั้นปรากฏว่าความรู้สึกเหมือนตัวเองหลงเข้าไปในเมืองเเห่งหนึ่งซึ่งมองดูแล้วไม่ใช่เมืองมนุษย์แน่นอน ซึ่งก็คาดว่าน่าจะเป็นเมืองลับแลตามตำนาน เมืองๆนี้มีแต่หญิงสาวสวยๆเต็มไปหมด หญิงสาวเหล่าต่างก็พากันชักชวนอยากให้คุณไข่ไปอยู่ด้วยแต่แล้วคุณไข่ก็ปฎิเสธคำเชิญชวนของชาวเมืองลับแลพร้อมบอกไปว่าตัวเขาเองมีลูกเมียแล้วและกำลังรออยู่ที่บ้าน ถึงกระทำนั้นหญิงสาวชาวเมืองลับแลก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวคุณไข่ออกมาง่ายๆพร้อมกับบอกว่าอยู่เที่ยวที่นี้ก่อนสัก 3 วันเดี๋ยวจะพากลับส่งบ้านเองคุณไข่ก็ยังไม่ยอมอยู่ที่นั้น และพยามเดินหนีจากเมืองลับแลแห่งนั้น แต่เมื่อยิ่งเดินออกเท่าไรประตูเมืองกลับหายไปจนในสุดพรานเติมก็มาเจอเขายืนอยู่ตรงแผ่นหินแผ่นนั้น หลวงพ่อสมนึกท่านบอกว่า 1 วันของชาวเมืองลับแลเท่ากับ 7 วันของชาวเมืองมนุษย์ ถ้าหากพรานเติมตามหาคุณไข่ไม่เจอและคุณไข่ไปอยู่ที่เมืองลับแลตั้ง 3 วันไม่รู้จะเป็นอย่างไรทุกท่านก็คิดเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น.
หลวงพ่อสมนึกท่านบอกว่า คุณไข่เองเมื่อรับรู้ในสิ่งลี้ลับเหนือคนอื่นๆก็ชอบเที่ยวเดินไปเอาสิ่งที่ตนเองได้พบเห็นตามใจชอบอาจจะเป็นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการจากการกระทำสิ่งนั้นและยังเป็นการล่วงเกินสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ด้วยไม่น่าแปลกใจเลยที่ต้องโดนชาวเมืองลับแลตักเตือนเข้าแบบนี้ ก่อนที่พรานเติมจะพาคุณไข่ลงมาจากภูลังกาหลวงพ่อสมนึกท่านก็เล่าให้ผมฟังว่าพรานเติมได้เดินเจอเถาว์หลงซึ่งเถาว์ชนิดนี้หากใครเดินผ่านโดยไม่ทันระวังตัวก็จะต้องพบกับอาถรรพ์ของเถาว์หลงได้โดยเถาว์หลงสามารถทำให้คนนั้นถึงกับเดินหลงทางวกไปวนมาหาทางออกไม่เจอ อีกอย่างเถาว์หลงนี้ท่านบอกว่าเขามีเทพธิดาที่คอยปกปักษ์อารักขาอยู่ พรานเติมจึงไม่รอช้าขอขมาแล้วจึงตัดม้วนเป็นวงขนาดใหญ่นำมาถวายพระอาจารย์สมนึกเพื่อใช้ผสมสร้างพระขุนแผนด้วย พอกลับมาถึงวัดหรงบนพระอาจารย์จึงบอกกับ คุณไข่ว่าท่านจะสร้างพระขึ้นมารุ่นหนึ่งโดยตั้งชื่อพระเป็น รุ่นไข่หลงก็แล้วกันนี้จึงเป็นที่มาของพระขุนแผนรุ่น...ไข่หลง..และหลวงพ่อสมนึกยังมอบให้คุณไข่เป็นคนผสมผงอีกด้วย
หลังจากหลวงพ่อสมนึกได้นำเถาว์หลงกลับมาวัดหรงบนท่านจึงมอบหมายให้คุณไข่เป็นคนรับผิดชอบทั้งสับตากแดด บดและผสมผงว่านยาต่างๆทำให้ทุกคนที่มาช่วยคุณไข่ทำงานนี้ได้รับอาถรรพ์จากเถาว์หลงกันทั่วหน้า เริ่มจากหลวงพี่ในวัดหรงบน 2 รูปที่มาช่วยสับเถาว์หลง หลวงพี่รูปแรกถึงกับอาเจียนเป็นระยะๆตลอดจนกว่าการสับเถาว์หลงจะแล้วเสร็จ ส่วนหลวงพี่รูปที่ 2 เป็นหนักกว่าหลวงพี่รูปแรกเพราะว่าหลังจากมาสับเถาว์หลงพอถึงตอนเย็นก็ปรากฏว่าหาทางกลับกุฏิของท่านเองไม่เจอต้องไปจำวัดที่กุฏิหลวงพี่รูปอื่นเป็นอยู่อย่างนั้นถึง 3 วันจนเย็นวันที่ 3 หลวงพี่รูปนั้นได้มาหาหลวงพ่อสมนึกที่กุฏิแล้วบอกกับท่านว่า...ผมหาทางกลับกุฏิตัวเองไม่เจอมึนงงไปหมดเลย เมื่อหลวงพ่อสมนึกได้ฟังอย่างนั้นจึงพรมน้ำมนต์ให้ เมื่อน้ำมนต์ถูกร่างกายของหลวงพี่รูปนั้นก็ถึงกับสะดุ่งตื่นขึ้นคล้ายๆคนตกใจอะไรประมาณนั้น
เรื่องอาถรรพ์ของเถาว์หลงยังไม่หมดอีกหลังจากสับตากบดเป็นผงแล้วคุณไข่ก็ได้ลงมือผสมผงเองตลอดการผสมผงเถาว์หลงกับผงว่าน ผงพุทธคุณต่างๆลงในถังนั้น คุณไข่เองก็ต้องคอยวิ่งไปอาเจียนอยู่เรื่อยๆ เป็นแบบนี้จนกว่าการผสมผงจะแล้วเสร็จ เมื่อคุณไข่ได้ผสมผงที่จะสร้างพระขุนแผนเสร็จแล้วจึงแจ้งให้พระอาจารย์สมนึกสมนึกมาตรวจดู พระอาจารย์ท่านเล่าต่อว่าพอท่านเปิดฝาถังที่บรรจุผงพุทธคุณว่านยารวมทั้งเถาว์หลงออกและก้มลงไปดูโดยไม่ทันระวังตัวเท่านั้นแหละครับ หลวงพ่อสมนึกเองถึงกับหน้ามืดต้องรีบกลับกุฏิและนำน้ำมนต์มาพรมตัวของท่านเองอาการหน้ามืดจึงหายไป
หลังจากนั้นหลวงพ่อสมนึกจึงให้ช่างแกะแบบแม่พิมพ์ออกมาเพื่อจะได้สร้างพระขุนแผนต่อไปเมื่อช่างแกะแม่พิมพ์เสร็จแล้วแต่ท่านไม่มีเวลาและกำลังคนที่จะกดพระคือที่วัดหรงบนสร้างพระเนื้อผงเองไม่ได้จ้างโรงงานทำเหมือนที่อื่นๆกว่าจะออกมาเป็นพระผงที่แข็งแกร่งได้ทุกวันนี้หลวงพ่อสมนึกท่านได้ทำการศึกษามา 10 กว่าปี ท่านใดเคยได้รับแจกพระผง เช่น หลวงปู่เขียว หลวงปู่ทวด พระพิมพ์หลวงปู่ปาน จะรู้ดีว่าเนื้อหามวลสารของพระผงเหล่านี้เข้มขลังเต็มไปด้วยว่านยาผงพุทธคุณต่างมากมาย หากนำไปอาราธนาแช่ทำน้ำมนต์แล้วพระก็ไม่เปื่อยยุ่ยยังอยู่ในสภาพเดิมนี้คือความพิเศษของพระเครื่องเนื้อผงของวัดหรงบนที่หลวงพ่อสมนึกได้จัดสร้าง เมื่อที่วัดหรงบนไม่กำลังคนพระอาจารย์สมนึกจึงได้ขนย้ายเครื่องมือที่ใช้สร้างพระไปที่ วัดห้วยสมจิต อำเภอทองผาภูมิจังหวัดกาญจนาบุรี ซึ่งที่นี่พระอาจารย์ธวัชชัย ธัมมสาโร(พระอาจารย์เปี๊ยก)ศิษย์ของหลวงพ่อสมนึกพร้อมพระเณรวัดหรงบนได้มาจำวัดอยู่ที่นั้น
เมื่อหลวงพ่อสมนึกพร้อมลูกศิษย์ขนย้ายเครื่องมือสำหรับสร้างพระจากวัดหรงบนไปยังวัดห้วยสมจิต ตำบลสหกรณ์นิคม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ประกอบด้วย เครื่องกดพิมพ์พระ ครกตำไฟ้ฟ้า เครื่องมือต่างๆรวมทั้งมวลสารผงพุทธคุณที่ใช้สร้างพระขุนแผน เมื่อถึงวัดท่านจึงให้ลูกศิษย์ติดตั้งเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับสร้างพระขุนแผนพร้อมทดสอบการทำงานของเครื่องมือต่างๆว่าสามารถทำงานได้ตามปกติหรือเปล่า จากนั้นได้ทดลองนำผงวานยามาตำในตรกไฟฟ้าโดยลูกศิษย์ของท่านหนึ่งชื่อคุณพิพัฒน์(พราหมณ์หม่อง)เป็นผู้คนผงในขณะที่ตรกไฟฟ้ากำลังทำงานอยู่ระหว่างตำผงอยู่นั้นคุณพิพัฒน์ได้บอกกับหลวงพ่อสมนึกว่าผงที่ตำอยู่หอมจังเลย หลวงพ่อสมนึกท่านยืนสังเกตุดูตรกไฟ้ฟ้าทำงานและท่านก็หันไปเห็นอาการของคุณพิพัฒน์เปลี่ยนไปจากเดิมท่านจึงลองสังเกตุการอยู่สักพักหนึ่งก็เห็นคุณพิพัฒน์เริ่มแสดงอาการแปลกๆออกมาเรื่อยๆคือตอนแรกนั่งยิ้มๆอยู่คนเดียวไม่พูดคุยกับใครพอยื้มนานๆเข้าน้ำลายก็เริ่มไหลยืดออกมาเรื่อยๆ หลวงพ่อสมนึกท่านเห็นท่าไม่ดีจึงสั่งให้หยุดตำผงทันที ท่านบอกว่าคุณพิพัฒน์โดนอาถรรพ์ของเถาว์หลงเข้าเสียแล้วหากปล่อยไว้นานจะเป็นอันตรายได้ท่านจึงได้ทำน้ำมนต์พรมให้กับคุณพิพัฒน์จากนั้นคุณพิพัฒน์ก็หายเป็นปกติ เมื่อหลวงพ่อสมนึกเห็นว่าเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆทำงานได้ปกติแล้วท่านจึงเดินทางกลับวัดหรงบน แต่ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับก็ได้ทำน้ำมนต์ไว้ให้พระเณรพรมก่อนทำพระขุนแผนพร้อมกับกำชับพระอาจารย์ธวัธชัยว่าให้พรมน้ำมนต์แก่พระเณรทุกครั้งก่อนลงมือทำพระ แต่แล้วเหตุการณ์ก็ไม่เป็นอย่างที่หลวงพ่อสมนึกท่านสั่งไว้และยังเกิดเรื่องราวอีก
กว่าจะมาเป็นพระขุนแผน รุ่นไข่หลง ทุกคนที่ร่วมสร้างต้องทนโดนอาถรรพ์ต่างๆมากมายเพื่อให้ได้พระขุนแผนออกมามีพุทธคุณเข้มขลังสามารถใช้ได้ผลจริงๆ เมื่อหลวงพ่อสมนึกเดินทางกลับวัดหรงบนแล้วพระอาจารย์ธวัชชัยและพระเณรก็เริ่มลงมือสร้างพระขุนแผนต่อ แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเพราะพระอาจารย์ธวัชชัยลืมพรมน้ำมนต์ให้แก่พระเณร ทั้งที่หลวงพ่อสมนึกท่านบอกเอาไว้ว่าก่อนจะลงมือทำพระขุนแผนต้องพรมน้ำมนต์ทุกครั้ง หลายวันผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ไม่มีพระเณรรูปใดสามารถทนต่ออาถรรพ์ของเถาว์หลงได้ต่างก็พากันมีอาการมึนงง คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียต่างๆ จนต้องนอนพักอย่างเดียวไม่สามารถทำพระขุนแผนต่อไปได้อีก เรื่องราวที่เกิดขึ้นรู้ถึงหลวงพ่อสมนึกท่านจึงได้สอบถามพระเณรที่ทำพระขุนแผนว่าก่อนจะลงมือทำพระได้พรมน้ำมนต์ตามท่านสั่งเอาไว้หรือเปล่า พระเณรบอกกับหลวงพ่อสมนึกว่าไม่ได้ทำตามท่านสั่งไว้จึงพากันโดนอาถรรพ์กันถ้วนหน้า หลังจากนั้นพระเณรจึงพากันพรมน้ำมนต์ทุกครั้งทำให้สามารถลงมือดำเนินการสร้างพระขุนแผนไปได้ด้วยดี จนถึงขั้นตอนกดพิมพ์ออกมาเป็นองค์พระขุนแผน หลังจากนั้นหลวงพ่อสมนึกจึงขอให้ส่งตัวอย่างมาให้ดูที่วัดหรงบน พระอาจารย์ธวัชชัยจึงส่งตัวอย่างพระขุนแผนกลับวัดหรงบนประมาณ 8-9 องค์ตอนนี้แหละครับมีผู้ลองดีอยากลองและก็พบเจอกับอาถรรพ์ของพระขุนแผนรุ่นไข่หลงจริงๆ
พอหลวงพ่อสมนึกท่านได้รับตัวอย่างพระขุนแผนกลับมาวัดหรงบนแล้ววันหนึ่งก็มีลูกศิษย์ของพระอาจารย์อุทัย วัดวิหารสูง จ.พัทลุง ทำงานเป็นโฟร์แมน เดินทางมากราบหลวงพ่อสมนึก ณ วัดหรงบน และสนทนากลับท่านเขาพูดถึงเรื่องพระขุนแผน เขาบอกกับท่านว่าตัวเขาเองได้ลองใช้พระขุนแผนมามากมายแล้วไม่เห็นพระขุนแผนที่ไหนจะใช้แล้วได้ผลเลย
หลวงพ่อสมนึกฟังหนุ่มคนนี้พูดเช่นนั้นท่านก็นำตัวอย่างพระขุนแผน รุ่นไข่หลงมาให้เขาดูพร้อมกับทำการปลุกเสก ณ ตอนนั้นเลย หลวงพ่อสมนึกท่านเล่าให้ฟังว่าท่านได้ปลุกเสกพระขุนแผนแบบดิบๆให้กับหนุ่มโฟร์แมนคนนั้นทันทีโดยมีพระในวัดหรงบน 3 รูปและหนุ่มโฟร์แมนนั่งล้อมวงกันดูท่านปลุกเสกพระขุนแผน
เมื่อท่านทำการปลุกพระขุนแผนได้ประมาณสัก 5 นาที หนุ่มโฟร์แมนที่นั่งดูถึงกับหน้ามืด วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียนขึ้นมาทันใดและต้องลุกไปอาเจียนนอกกุฎิที่หลวงพ่อสมนึกท่านกำลังปลุกเสกพระขุนแผนอยู่ตามด้วยพระที่นั่งอยู่ข้างหลัง นั่งอยู่ด้านข้าง ต่างพากันทยอยลุกขึ้นไปอาเจียนกันถ้วนหน้ายกเว้นหลวงพ่อสมนึกรูปเดียว เมื่อท่านปลุกเสกพระขุนแผนเสร็จแล้วจึงมอบให้หนุ่มโฟร์แมนไป 1 องค์พร้อมบอกวิธีการอาราธนาโดยให้ห้อยติดต่อกัน 7 วันภาวนาพระคาถาก่อนนอนทุกวันจากนั้นก็จะเห็นผลตามปรารถ หนุ่มโฟร์แมนก็ได้ทำตามหลวงพ่อสมนึกบอกเอาไว้และแล้วเขาเองก็ได้ต้องเจอกับพุทธคุณของพระขุนแผนรุ่นไข่หลง จริงๆเขาเล่าให้หลวงพ่อสมนึกว่าเมื่อห้อยติดตัวเป็นประจำแล้วก็ใช้ได้ผลแต่ก็มีเรื่องต้องปวดหัวตามมาคือมีสาวๆเข้ามาวนเวียนอยู่เรื่อยๆจนตัวเขาเองต้องตันสินใจถอดพระขุนแผนไว้ที่หิ้งพระเอาไว้ใช้เฉพาะตอนที่จำเป็นจริงๆ หนุ่มโฟร์แมนยังบอกกับหลวงพ่อสมนึกว่าพระขุนแผนรุ่นไข่หลง แรงจริงๆเลย เล่าเอาไว้เพียงแค่นี้ก่อนเดี๋ยวจะย้อนกลับไปเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ วัดห้วยสมจิต อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรีกันต่อไป
หลังจากหลวงพ่อสมนึกดำเนินการรวบรวมมวลสารว่านยาพร้อมผงพุทธคุณอีกมากมายมาหลายปีการจัดสร้างเป็นพระขุนแผนรุ่นไข่หลง จึงเกิดขึ้นในปี 2548 ซึ่งก็มีเหตุอาถรรพ์ต่างๆเกิดขึ้นกับผู้ที่ร่วมสร้างพระขุนแผนเกือบทุกคนโดยการจัดสร้างเริ่มปี 2548 และทำการปลุกเสกเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549 ณ วัดห้วยสมจิต อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ซึ่งตรงกับวันวาเลนไทล์เป็นวันแห่งความรักพอดี วันนั้นท่านได้ทำการอธิฐานจิตปลุกเสกพระขุนแผนรุ่น ไข่หลง ในตอนเวลากลางคืนของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549 โดยมีพระอาจารย์อุทัย วิหารสุง ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง ร่วมอธิฐานจิตด้วยและเกิดเรื่องเหตุอัศจรรย์ในคืนนั้น
แต่เดี๋ยวผมขอเล่าถึงประวัติของพระอาจารย์อุทัยก่อน ประวัติย่อ พระอาจารย์อุทัย อุทโย พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดพัทลุง มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีวัตรปฏิบัติน่ายกย่องนับถือ และเป็นพระนักพัฒนา จนเป็นที่เลื่อมใสนับถือศรัทธาของชาวบ้านทั่วไปในจังหวัดพัทลุงและภาคใต้ ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดวิหารสูง ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีพระครูสิทธิโสภณ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูประจักษ์วิหารคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูคง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์อุทัย มีความรู้ความสามารถในการอ่านเขียนภาษาขอม ไทยและบาลี สามารถเรียนรู้วิชาตำรับตำราและคัมภีร์ต่างๆ ทั้งวิชาไสยเวทและการฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานได้อย่างเข้มขลัง คล่องแคล่ว ท่านยังได้ศึกษาวิชากับพระอาจารย์ปลอด วัดหัวป่า อ.ระโนด จ.สงขลา พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคใต้ นานกว่า 10 ปี และอีกหลายท่าน เช่น พระอาจารย์เศียร อดีตเจ้าอาวาสวัดวิหารสูง, พระอาจารย์ผัน วัดทรายขาว, พระอาจารย์ปาน แห่งวัดแสงอรุณ และอาจารย์ผ่อง วัดแจ้ง วัตถุมงคลของพระอาจารย์อุทัย ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้ก็คือ ตะกรุด ทำจากแผ่นทองแดงลงยันต์และปลุกเสกด้วยพิธีเข้มขลัง เคยมีประสบการณ์ นายวัชรินทร์และนางสุณี สองสามีภรรยาถูกมือปืนจ่อยิงด้วยอาวุธปืน .38 โดยสามีถูกยิงที่กลางหลัง ส่วนภรรรยาถูกยิง 3นัด นัดแรก โดนที่บริเวณหน้าอกแต่กระเด็นไปติดขื่อไม้ใต้เตาแก๊ส ส่วนอีก 2 นัดผ่านหัวไป โดยภรรยาได้รับบาดเจ็บบริเวณอกแค่บวมช้ำ แต่ไม่มีเลือดออกสักหยด เอาเพียงแค่นี้ก่อนนะครับ
หลวงพ่อสมนึกนอกจากท่านจะนิมนต์พระอาจารย์อุทัย วัดวิหารสุง มาร่วมปลุกเสกพระขุนแผนรุ่นนี้แล้วท่านยังได้นิมนต์ หลวงตาร้อย สำนักสงฆ์ถ้ำพองาม อ.ดอนสัก จ.สุราษฏร์ธานีมาร่วมปลุกเสก หลวงตาร้อยท่านเป็นหลานของหลวงพ่อแดง วัดเขาแหลมสอ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี พระอาจารย์สมนึกท่านบอกว่าหลวงร้อยท่านเป็นพระมีญาณสมาธิสุงมากเมื่อครั้งท่านออกธุดงค์เพื่อปฏิบัติกรรมฐานตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในป่าลึกหลายเดือนจนหนวดเครายาวรุงรัง เมื่อครั้งหลวงตาร้อยนั่งกรรมฐานอยู่ในป่าวันหนึ่งขณะที่หลวงตาร้อยเข้าสมาธิก็ได้เกิดฟ้าผ่าลงมาตรงที่หลวงตาร้อยนั่งอยู่แต่ตัวของหลวงตาร้อยกับไม่เป็นอะไรเลยซึ่งแปลกมากสายฟ้าผ่าลงมาติดต่อกันถึง 2ครั้งแต่หลวงตาร้อยก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆเลยถ้าเป็นคนธรรมอย่างเราคงไม่เหลือตั้งตอนแรกแน่นอน เข้าเรื่องกันต่อครับพระอาจารย์สมนึกท่านนิมนต์พระอาจารย์อุทัยและหลวงตาร้อยมาปลุกเสกพระขุนแผนท่านทั้งสองรูปก็ได้เดินทางมาถึงสำนักสงฆ์ถ้ำพองามในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2549 ตอนเย็นจึงแยกย้ายกันพักผ่อนตามลำพังเพราะเดินกันมาไกลพอสมควร เมื่อเข้าที่พักแล้วตอนกลางคืนหลวงตาร้อยก็พบเจอกับอาถรรพ์ของพระขุนแผนเลยในคืนนั้น
ตอนเช้าหลวงตาร้อยจึงเล่าให้หลวงพ่อสมนึกฟังว่าขณะท่านจำวัดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงหญิงสาวมาเรียกท่านว่า…พี่ร้อย..พี่ร้อย…ทุกท่านคิดว่าในวัดดึกแล้วจะมีผู้หญิงคนใดกล้ามาเดินเล่นแถวๆนั้นพอเล่าจบหลวงตาร้อยพูดกับหลวงพ่อสมนึกเลยพระขุนแผนรุ่นนี้แรงจริงๆ
หลังจากหลวงตาร้อยได้พบเจอกับอาถรรพ์ของพระขุนแผน รุ่นไข่หลงคืนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ไปแล้ววันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 หลวงพ่อสมนึก พระอาจารย์ธวัชชัย และพระในวัดห้วยสมจิตได้จัดเตรียมประรำพิธีเพื่อจะใช้ทำพิธีพุทธาภิเษกพระขุนแผนรุ่นไข่หลง เหตุการณ์ในตอนกลางวันก็ปกติสามารถจัดเตรียมประรำพิธีเสร็จโดยไม่มีเรื่องราวเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นแต่อย่างใด พอตกตอนเย็นพระที่ช่วยจัดประรำพิธีก็แยกย้ายกันพักผ่อนจนถึงตอนเช้าของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549 ได้มีหลวงพี่รูปหนึ่งมาเล่าให้หลวงพ่อสมนึกฟังว่าเมื่อคืนฝันว่ามีงานแสดงมหรสพที่ไหนไม่รู้มีผู้คนมาร่วมงานเยอะมากมายเลยซึ่งหลวงพี่เองก็ได้ไปเที่ยวภายในงานด้วย หลวงพี่เล่าต่อว่าบรรยากาศในงานคนมาเที่ยวงานมีทั้งหนุ่มสาวชายหญิง คนแก่ เด็ก เยอะแยะเต็มไปหมดแต่ที่แปลกก็คือการแต่งกายของผู้คนเหล่านั้นไม่เหมือนคนยุคปัจจุบันนี้เอาเสียเลยเพราะว่าผู้คนเหล่านั้นแต่งกายเหมือนคนโบราณทั้งนั้น
พอหลวงพี่รูปแรกมาเล่าถึงความฝันของท่านให้พระอาจารย์สมนึกฟังจบแล้วก็มีพระอีก 3-4 รูปมาเล่าเหตุการณ์ความฝันให้ท่านฟังเช่นเดี๋ยวกันซึ่งเรื่องราวในความฝันของพระทุกรูปที่มาเล่าต่างยืนยันว่าในฝันได้ไปเที่ยวชมงานแสดงมหรสพที่ไหนไม่ทราบสถานที่เห็นผู้คนมาเที่ยวงานนั้นเยอะแยะไปหมดแต่แปลกตรงการตัวกายผิดกับผู้คนยุคนี้เหมือนคนโบราณยุคก่อนและเหตุการณ์ดังกล่าวก็ตรงกันกับหลวงพี่รูปแรกเล่าเอาไว้นับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดมากสำหรับเหตุการณ์ความฝันของพระที่มาช่วยสร้างพระขุนแผน รุ่นไข่หลง เมื่อถึงเวลาตอนเย็นของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งตรงกับวันวาเลนไทน์พอดีและเป็นวันแห่งความรักด้วยพระอาจารย์สมนึกจึงทำพิธีพุทธาภิเษกพระขุนแผน รุ่นไข่หลง โดยมีพระเกจิอาจารย์ร่วมปลุกเสกด้วยกัน 4 รูปดังนี้ 1.หลวงพ่อสมนึก วัดหรงบน 2.พระอาจารย์อุทัย วัดวิหารสุง 3.หลวงตาร้อย สำนักสงฆ์ถ้ำพองาม 4.พระอาจารย์ธวัชชัย ธัมมสาโร(พระอาจารย์เปี๊ยก) วัดหรงบน พิธีพุทธาภิเษกพระขุนแผนเริ่มตั้งแต่ตอนเย็นของวันที่ 14 กุมภาพันธ์จนถึงเช้าวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 ก็เสร็จพิธี สรุบแล้วพระขุนแผนรุ่นไข่หลง มีการสร้างอยู่ 2 พิมพ์คือ 1.พิมพ์ใหญ่สร้างจำนวน 10000 องค์ 2.พิมพ์เล็กสร้างจำนวน 15000 องค์
ขอบคุณข้อมูลจาก
คุณ SangTong จากเว็บพลังจิต
-----------------------------------------------------------------
ประวัติหลวงพ่อสมนึก วัดหรงบน จ.นครศรีธรรมราช
ชาตภูมิ
เดิมชื่อ สมนึก พุ่มนก เกิดเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๙ ตรงกับ วันอังคาร แรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก บิดาชื่อ คลิ้ง พุ่มนก มารดาชื่อ พั้ว พุ่มนก ภูมิเลาเนาเดิมอยู่ที่อำเภอ หาดใหญ่ จังหวัด สงขลา เรียนจบชั้นประถม๖ที่โรงเรียนวัดคอหงษ์ อำเภอหาดใหญ่ เรียนจบชั้น มศ.๖ที่โรงเรียนหาดใหญ่วิทยา เรียนจบชั้น ปวส.ที่โรงเรียนหาดใหญ่พานิชการ หลังจากเรียนจบก็ได้ไปทำงานกับญาติที่อำเภอธารโต ตำบลสุครินทร์ อยู่พักนึงจนกระทั่งมีญาติผู้ใหญ่เสียชีวิตลงที่อำเภอหาดใหญ่ จึงได้กลับไปบ้านเกิดที่อำเภอหาดใหญ่และได้อุปสมบทอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่เสียชีวิตลง
อุปสมบท
หลวงพ่อสมนึก อุปสมบทที่พัทธสีมาวัดหงษ์ประดิษฐาราม(คอหงษ์)อำเภอหาดใหญ่ จังหวัด สงขลา เมื่ออายุได้๒๔ปี วันที่ ๒๔ กุมภาพันธุ์ พ.ศ.๒๕๒๓ โดยมี พระปริยัติวรานุกูล อดีตเจ้าอาวาสวัดหงษ์ประดิษฐาราม(คอหงษ์)เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาเชือน สนฺตจิตฺโต วัดหงษ์ประดิษฐาราม(คอหงษ์) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า ฉนฺทธมฺโม ผู้มีความพอใจเป็นปกติ หลังอุปสมบทแล้วก็เกิดศรัธาอยากจะอยู่เป็นพระศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านำมาประพฤติปฏิบัติสั่งสอนสืบทอดพระศาสนาต่อไปจึงได้อยู่วัดหงษ์ประดิษฐาราม(คอหงษ์)เพื่อศึกษาหาความรู้จากพระอุปัชฌาย์และครูบาอาจารย์จนกระทั่งเรียนจบนักธรรมชั้นเอกที่วัดหงษ์ประดิษฐารามเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๖ อายุได้๒๖ปี พรรษาที่๓ นับว่าท่านเรียนได้ปีละชั้น หลังจากจบนักธรรมชั้นเอกแล้ว ท่านก็ช่วยสอนพระภิกษุสามเณรในสำนักเรียนวัดหงษ์ประดิษฐาราม(คอหงษ์)ต่อ และยังรับงานเป็นพระเลขานุการของพระปริยัติวรานุกูลพระอุปัชฌาย์ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอหาดใหญ่ในขณะนั้น
หลวงพ่อสมนึก ฉนฺทธมฺโม มีนิสัยเป็นผู้มีเมตตาสูงจึงเป็นที่รักใคร่ของพระภิกษุสามเณรในระหว่างนั้นท่านเหนื่อยมากเพราะมีหน้าที่มากและพระภิกษุสามเณรในความรับผิดชอบก็หลายรูป เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็มักหลีกออกไปธุดงค์ตามป่าเขาเลาเนาไพรเพื่อปลีกวิเวกเจริญสมณธรรมกรรมมัฏฐานสมถะวิปัสสนาขจัดกิเลสตัณหาเพื่อความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ในบางครั้งท่านก็ไปคนเดียวเที่ยวไปในป่าแถบจังหวัดสงขลา สตูล พัทลุง บางครั้งท่านก็ธุดงค์ไปกับพระสหธรรมิกเช่น พระอาจารย์เจริญ(เขียว) วัดโพธิ์เจริญ อำเภอรางู จังหวัดสตูล และอีก๒-๓รูป
รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหรงบน
เมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๓ หลวงพ่อสมนึก ฉนฺทธมฺโม ได้ไปร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดโคกสมานคุณ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัด สงขลา โดยพระครูสมานคุณากรณ์(พ่อท่านจันทร์ จนฺทวํโส)และได้พบกับคุณณรงค์ เลติกุล ศิษย์ หลวงพ่อบุญธรรม วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัด นครปฐม ซึ่งเป็นหลานหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้ถ่ายทอดวิชายันต์เกราะเพชรให้พระครูสมานคุณากรณ์(พ่อท่านจันทร์ จนฺทวํโส) คุณณรงค์ เลติกุล จึงได้นิมนต์หลวงพ่อสมนึก ฉนฺทธมฺโม ให้มาอยู่วัดหรงบนเพราะวัดหรงบนขณะนั้นไม่มีพระภิกษุที่มีความสามารถมีแต่หลวงตาชราๆอยู่เฝ้าวัดเท่านั้น กุฏิวิหารก็เก่าทรุดโทรมผุพังไปตามกาลเวลา เมื่อหลวงพ่อสมนึก ฉนฺทธมฺโม มาอยู่วัดหรงบนก็ได้มีพระภิกษุมาอยู่ด้วยกันหลายรูป และมีการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนจนมีพระภิกษุสามเณรเต็มวัดกว่า๕๐รูป จนไม่มีกุฏิพอให้พระเณรจำวัดหลวงพ่อสมนึก ฉนฺทธมฺโม จึงสร้างกุฏิเพิ่มเติมขึ้นอีกกว่า๓๐หลัง
ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ หลวงพ่อสมนึก ฉนฺทธมฺโม ก็ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดหรงบน และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดหรงบนเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๗ อายุได้ ๓๘ปี พรรษา ๑๔ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นตลอดมา
พ.ศ.๒๕๕๕ อายุได้๕๖ปี๓๑พรรษา ได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์ที่ พระครูพิทักษ์อินทมุนี เมื่อ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕ และได้เดินทางไปรับใบตราตั้งตาลปัตรพัดยศที่จังหวัดระนองเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๖
สำหรับประวัติหลวงพ่อสมนึกท่านเมตตาเล่าถึงเรื่องราวย้อนหลังกลับไปให้ผมฟังว่าเมื่อสมัยที่โยมนิมนต์ท่านมาอยู่วัดหรงบนใหม่ๆปี พ.ศ. 2533 นั้น วัดหรงบนมีสภาพทรุดโทรมอย่างมากด้วยเพราะว่าวัดหรงบนขาดพระเณรดูแลมีเพียงหลวงตาจำวัดอยู่แค่รูปเดียว ท่านมองเห็นสภาพวัดหรงบนทรุดโทรมจึงอยากบูรณะวัดหรงบนใหม่แต่ก็เจอกับปัญหาอย่างใหญ่หลวงเนื่องจากวัดไม่มีปัจจัยจะบูรณะซ่อมแซมวัดเลย อีกสาเหตุอย่างหนึ่งก็คือวัดหรงบนไม่คอยมีคนเข้ามาทำบุญ หลวงพ่อสมนึกท่านก็เริ่มเข้าใจปัญหาของที่นี้มากขึ้นแต่ไม่ก็รู้จะใช้วิธีการใดจึงจะสามารถดึงศรัทธาของคนในพื้นที่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาบูรณะวัดขึ้นมาด้วยเหตุนี้เองท่านจึงตัดสินใจศึกษาคาถาอาคมในพระคัมภีร์ แต่ก็ต้องมาพบเจอปัญหาอีกครั้งเพราะว่าตำราวิชาอาคมล้วนเขียนด้วยอักษรขอมทำให้หลวงพ่อสมนึกไม่สามารถจะศึกษาต่อได้
จากนั้นท่านจึงหันมาศึกษาอักษรขอมไทย เริ่มตั้งแต่การศึกษาพยัญชนะ สระ ผสมสระกับพยัญชนะให้เป็นคำ แปลอักษรขอมเป็นภาษาบาลี แปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทย แปลภาษาไทยอักษรขอมเป็นต้น เมื่อท่านอ่านเขียน ท่องจำอักษรขอมไทยจนชำนาญโดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 เดือนก็สามารถศึกษาสำเร็จ หลวงพ่อสมนึกจึงศึกษาคัมภีร์ปถมังซึ่งเป็นขั้นต้นของการศึกษาวิชาอาคม หลวงพ่อสมนึกท่านเล่าว่าในคัมภีร์ปถมังบอกว่าเริ่มแรกด้วยการทำพินทุ คือแววกลม ถือเป็นปฐมกำเนิด จากนั้นจึงแตกเป็นทัณฑะ เภทะ อังกุ และสิระตามลำดับ สำเร็จเป็นปทมังพินทุ เวลาทำใช้แท่งดินสอเขียนลงบนกระดานชนวน มีการเรียกสูตรบริกรรมคาถากำกับตลอด จนสำเร็จเป็นนะปถมัง มีการนมัสการและเสกตามลำดับ ขณะทำมีขั้นตอนและวิธีการที่สลับซับซ้อนพิสดารมาก เนื้อหาของคัมภีร์ปถมังนี้มีทั้งสิ้น ๙ วรรค หรือ ๙ กัณฑ์ แต่ละกัณฑ์เป็นวิธีการทำผงเพื่อฝึกจิตอย่างพิสดารต่างกันไป โดยทุกวรรคหรือทุกกัณฑ์จะเริ่มต้นด้วยนะปถมังพินทุ จากนั้นจะแยกแยะไปเป็นอุณาโลม อุโองการ องค์พระภควัม หัวใจพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ฯลฯ ต่างกันไปในแต่ละวรรค แต่ทุกวรรคจะจบที่สูญนิพพาน คือ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง เหมือนกันทั้งสิ้น ขณะทำผู้ทำจะใช้จิตเพ่งอักขระ มือเขียน พร้อมบริกรรมคาถาอย่างต่อเนื่องจนจิตสงบเป็นเอกัคคตาสมาธิ เมื่อจบสูตรแล้วจึงเอามือลบอักขระบนกระดาน กล่าวกันว่าหากจิตเป็นสมาธิแน่วแน่ ผงดินสอพองบนกระดานชนวนนั้นบางทีก็จะร่วงหล่นหรือทะลุลอดแผ่นกระดานลงไปอยู่เบื้องล่างได้ เรียกว่าผงปัดตลอดหรือผงทะลุกระดาน เป็นของวิเศษมีอานุภาพยิ่งนัก หลวงพ่อสมนึกเล่าว่า การศึกษาคัมภีร์ปถมังเป็นการ ฝึกสมาธิ ไปในตัวแล้วก็จะสามารถถึงองค์ฌาณได้ อีกประการหนึ่งเป็น วิปัสสนา คือการคิดอย่างชาญฉลาด มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เกี่ยวกับสังขารธรรมอย่างละเอียดโดยใช้ลักษณะต่าง ๆ นานา เช่น เมื่อคิดทำความเข้าใจเรื่องรูปขันธ์จนแจ่มแจ้งชัดเจนด้วยญาตปริญญาแล้ว ก็คิดถึงรูปขันธ์โดยใช้ลักษณะที่ไม่เที่ยงของรูปขันธ์ว่า "รูปขันธ์ไม่เที่ยง เพราะปกติแล้วรูปขันธ์ ต้องสิ้นไป เป็นต้น
หลวงพ่อสมนึกเมตตาเล่าถึงการศึกษาคัมภีร์ปทมังว่าศึกษาเพื่ออะไรซึ่งท่านก็ได้อธิบายให้เข้าใจง่ายเป็นข้อๆ ดังนี้
1.การใช้ จิต ให้ถูกต้องไปตามแต่วิชานั้นๆเนื่องจากวิชาแต่ละวิชาใช้จิตไม่เหมือนกัน เช่น วิชาคงกระพันชาตรี จิตใจต้องกล้าแกร่งเกรงไม่กลัวต่อศัตราวุธที่พุ่งมาออก วิชาเมมตามหานิยม ทำจิตให้รักผู้อื่นเปรียบกับบุตรของตน วิชามหาอุด ต้องทำจิตให้อุดปิดทวารทั้ง9 วิชาชาตรี คนส่วนใหญ่มักเรียกรวม วิชาคงกระพัน กับ วิชาชาตรีเข้าด้วยกัน เป็นวิชาคงกระพันชาตรีแต่ที่จริงแล้ววิชาชาตรีนั้นต่างจากวิชาคงกระพันตรงที่ วิชาคงกระพันพฟันแทงไม่เข้าแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดเกิดขี้นอยู่ แต่วิชาชาตรีนั้น ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลย เพราะวิชาชาตรีนั้นทำให้ของหนักต่างๆที่จะมากระทบตัวจะเบาไปหมด เป็นต้น
2.การรู้จักใช้ ลมปราณ คือการสูดลมหายใจเข้า-ออก โดยการสูดเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในอากาศแล้วเคลื่อนย้ายมาสู่ลมหายใจร่างกายจนไปถึงแขนมือจนในที่สุดก็ลงสู่ปากกาหรือดินสอและตัวอักขระนั้นๆ
3.การใช้ กสิน การใช้กสินโดยตรงเมื่อจะลงอักขระนั้นต้องให้อักษรมีแสงสว่างเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมาบนตัวอักษรนั้นๆ
4.รู้จักการทำ สมาธิ การทำสมาธิจิตใจแน่วแน่เป็นหนึ่งไม่หวอกแวก จิตใจจะต้องสงบขณะที่ทำการลงอักขระนั้นๆ
5.การใช้ คาถา การใช้คาถาแต่ละด้านให้ตรงกับวิชานั้นๆ เป็นต้น
หลังจากหลวงพ่อสมนึกศึกษาคัมภีรปทมังสำเร็จแล้วท่านจึงหันมาศึกษาเรื่องยันต์ต่างๆท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่ายันต์แรกที่ท่านเริ่มศึกษาคือ ยันต์ตรีนิสิงเห ท่านบอกว่ายันต์ตรีนิสีเหเป็นแม่ยันต์ทั้งปวงถึงแม้จะมีแต่ตัวเลขแต่ก็รวมคาถาต่างๆมาอยู่ในยันต์นี้หมดสำหรับยันต์ตรีนิสีเหโบราณใช้แขวนเรือนเวลาคลอดบุตรหรือเรือนผู้มีลูกอ่อน เพื่อป้องกันภูตผีปีศาจและโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้ยันต์ตรีนิสิงเห ยังนิยมใช้จารบนแผ่นโลหะติดเสาเรือน เพื่อปัองกันไฟไหม้และฟ้าผ่า ตัวเลขชุดดังกล่าวเป็นกลเลขที่สามารถถอดไปได้อีกเช่นเดียวกับจตุรัสกลในทาง คณิตศาสตร์ โดยการตั้งฐานเลขและบวกลบคูณหารตามขั้นตอนในคัมภีร์ตรีนิสิงเห จนได้ผลลัพธ์เป็น อัตราตรีนิสิงเห โดยอัตราเลขชุดนี้สามารถตั้งบวกลบคูณหารต่อไปได้อีกตามกลแต่ละแบบยันต์ ตรีฯนี้ เป็นหนึ่งในขั้นต้นในการลบผง(ปถมัง อิธะเจ ตรีนิสิงเห และมหาราช) ผงที่ได้จากการทำตามคัมภีร์ตรีนิสิงเห เรียกผงตรีนิสิงเห เชื่อว่ามีอานุภาพทั้งทางอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม ตลอดจนถอนคุณไสยสิ่งอวมงคลทั้งมวล











